เรียกได้ว่าเพิ่งจะจบงาน SIHH ไปไม่นาน ทางแบรนด์นาฬิกาต่าง ๆ ก็เริ่มคึกคักขึ้นอีกครั้งด้วยงาน Baselworld 2017 ที่กระชั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ เป็นธรรมเนียมที่แต่ละแบรนด์จะทำการปล่อย Pre-Basel ออกมาก่อนถึงวันงานจริงเพื่อโหมกระแสเสียก่อน ซึ่งในคราวนี้ทาง LWQP จะนำผู้อ่านไปรู้จักกับเรือนเวลารุ่นใหม่ 3 คอลเลคชันหลักจาก BVLGARI ที่เปิดตัวในงานนี้ก่อนใครกันครับ
BVLGARI OCTO
นาฬิกาพร้อมตัวเรือน 8 เหลี่ยมที่ดูทะมัดทะแมงนี้เป็นอีกหนึ่ง DNA ของสุดยอดนักออกแบบเรือนเวลาแห่งยุคอย่าง Gérald Genta นาฬิกาในคอลเลคชัน Octo ที่ทาง BVLGARI เผยโฉมในงานครั้งนี้มีอยู่ 3 รุ่นด้วยกันคือ Finissimo Tourbillon Skeleton, Roma และ Ultranero
Octo Finissimo Tourbillon Skeleton
เรือนเรือธงของปีนี้คงจะหนีไม่พ้น Octo Finissimo Tourbillon Skeleton ซึ่งสร้างความโดดเด่นให้กับ LWQP ตั้งแต่แรกเห็นจากการเปลือยหน้าปัดแสดงส่วนกลไก BVL 268 Finissimo calibre ซึ่งผ่านการฉลุและขัดแต่งอย่างพิถีพิถัน แต่แน่นอนว่าแค่สวยอย่างเดียวคงจะยังไม่พอเข้ามาในเกณฑ์รุ่นเรือธงได้

กลไกรุ่น BVL 268 ที่บรรจุอยู่ภายในนี้ยังเป็นกลไกตูร์บิญองที่ทุบสถิติความบางไปเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่ปี 2015 ด้วยความหนาเพียงแค่ 1.95 มิลลิเมตรจึงทำให้ Octo Finissimo Tourbillon เป็น “กลไกตูร์บิญองที่บางที่สุดในโลก” กลไกรุ่นนี้ให้สัญญาณนาฬิกาที่ 21,600 vph หรือ 3 Hz ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนทั้งหมด 253 ชิ้น สำรองพลังงานลานได้ 62 ชั่วโมง โดยตูร์บิญองนั้นเป็นแบบ flying tourbillon และใช้สายใยแบบ flat hairspring จึงลดความหนาลงรวมถึงตัดสะพานตูร์บิญองออกไปได้ นอกจากนั้นยังมีชิ้นส่วนต่างๆ ที่ถูกปรับขนาดให้บางลงแต่ยังคงคุณภาพไว้เท่าเดิมซึ่งนับเป็นชัยชนะทางวิศวกรรมอย่างหนึ่ง

ด้วยตัวเรือนแพลทินัมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 40 มิลลิเมตร ทำให้ Octo Finissimo Tourbillon Skeleton เรือนนี้มีน้ำหนักสมดุล ไม่เบาจนเกินไป และเนื่องจากเป็น Skeleton Watch เราจึงสามารถเห็นชุดกลไก BVL 268 ได้อย่างชัดเจนราวกับมันพยายามจะกู่ร้องประกาศศักดาแห่งเทคโนโลยีขั้นสูงให้เราได้ยินทุกครั้งที่มอง สำหรับ Octo Finissimo Tourbillon Skeleton นั้นมาพร้อมกับสายหนังจระเข้สีดำ ซึ่งเหมาะกับการใส่กับชุดสูทหรือสำหรับงานทางสังคมต่างๆ ได้อย่างลงตัว

Octo Roma
รุ่นต่อมาคือ Octo Roma ซึ่งเป็นการนำ Octo มาตีความใหม่อีกครั้งเพื่อเติมเต็มคอลเล็คชัน Octo ให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดย Octo Roma นั้นได้มีการลดส่วนที่เป็นเหลี่ยมลง ให้มีความลงตัวในการสวมใส่และเหมาะกับการสวมใส่ได้ทุกวัน ซึ่ง LWQP ได้เห็น Octo Roma เป็นครั้งแรกต้องบอกว่าเราประทับใจในรูปทรงเรือนเวลานี้มาก เพราะเป็นการตีความใหม่โดยยังคงรักษา DNA ที่ Gérald Genta สร้างไว้ไม่จางหายไป


Octo Roma มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตัวเรือนที่ 41 มิลลิเมตร มีวัสดุให้เลือกอยู่ 3 แบบคือทองชมพู (Pink gold) สเตนเลสสตีล หรือสองกษัตริย์ สำหรับสายมีทั้งสายเหล็กสำหรับรุ่นเสตนเลสหน้าปัดดำ นอกจากนั้นจะเป็นสายหนัง ซึ่งในส่วนของสายเหล็กจะให้อารมณ์ที่มีความทะมัดทะแมง แต่ก็แสดงความดุดันน้อยกว่า Octo รุ่นธรรมดา แน่นอนว่าทาง LWQP ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปทั้งสองเรือนไว้ให้ผู้อ่านเปรียบเทียบที่ด้านล่างนี้แล้วครับ

Octo Roma ขับเคลื่อนด้วยกลไกรุ่น BVL 191 Solotempo เป็นกลไกขึ้นลานอัตโนมัติ in-house movement ที่ผลิตภายใต้โรงงานของ BVLGARI เองที่ Le Sentier ประกอบด้วยฟังก์ชั่น ชั่วโมง นาที และวินาที หน้าต่างแสดงผลวันที่อยู่ ณ ตำแหน่ง 3 นาฬิกา สามารถสำรองพลังงานลานได้ 42 ชั่วโมง

Octo Ultranero
ผู้อ่านของ LWQP คงจะคุ้นเคยกับ Octo Ultranero ที่เราเคยนำมารีวิวเมื่อในปี 2016 (อ่านต่อ: “รีวิว – BVLGARI Octo Solotempo 2016”) และสำหรับปีนี้ ทาง BVLGARI ได้เพิ่มในรุ่นที่เป็นดำล้วน และรุ่นที่เข็มและหลักสีแดง ซึ่งนำเสนอความสปอร์ตแห่ง Octo ให้น่าสนใจยิ่งขึ้น

LWQP เชื่อว่า Octo Ultranero รุ่นใหม่ จะเข้าถึงความเป็นสปอร์ตของไลน์ Octo อย่างแท้จริง ด้วยสายที่เป็นยาง ตัวเรือน D.L.C. (Diamond Like Carbon) สีดำสนิท สำหรับกลไกนั้นจะใช้รุ่น BVL 193 ที่มาพร้อมกับกระปุกลานคู่ ทำให้สำรองพลังงงานลานได้ถึง 50 ชั่วโมง ซึ่งจะมากกว่า BVL 191 ในรุ่น Octo Roma อยู่ 8 ชั่วโมง แต่อย่างไรก็ตาม กลไก 193 เป็นกลไกขึ้นลานอัตโนมัติ ที่จะขึ้นลานด้วยตุ้มเหวี่ยงเมื่อสวมใส่ เหมาะเป็นนาฬิกาสำหรับใส่ใช้งานประจำวัน

LWQP ชื่นชอบนาฬิกาสุภาพสตรีของ BVLGARI เพราะมีการออกแบบที่แตกต่างจากนาฬิกา BVLGARI ของสุภาพบุรุษโดยสิ้นเชิง (ยกเว้นคอลเล็คชัน BVLGARI BVLGARI รุ่นคลาสสิค) ซึ่งหมายความว่าทาง BVLGARI นั้นให้ความใส่ใจที่จะตอบโจทย์ความต้องการของสุภาพสตรีอย่างถึงที่สุด
BVLGARI LVCEA
BVLGARI (Bulgari) เป็นแบรนด์ที่เด่นในเรื่องของสตรีเป็นพิเศษ โดยในปี 2017 นี้นอกจาก Serpenti ซึ่งเป็นไอคอนของแบรนด์แล้วยังมีเรือนเวลา LVCEA Moon Phases โดยคำว่า LVCEA (Lucea) ซึ่งเกิดขึ้นจากการนำสองคำมารวมกัน นั่นคือ luce จากภาษาอิตาเลียนกับคำว่า lux ของละติน โดยแปลว่า “แสงสว่าง” ซึ่ง LWQP คิดว่าเรือนนี้เป็นดาวเด่น เพราะเรือนเวลานี้สามารถบ่งบอกตัวตนสมชื่อผ่านฟังก์ชันข้างขึ้น-ข้างแรม (Moon phase) ที่บริเวณครึ่งหน้าปัดบน ที่ BVLGARI ทำออกมาได้สมศักดิ์ศรี โดยเฉพาะสีม่วงที่กระตุ้นความรู้สึกความโรแมนติกและอ่อนไหวข้างในใจของสตรี

การประดิษฐ์ฟังก์ชันข้างขึ้น-ข้างแรมนั้นเกิดขึ้นประมาณศตวรรษที่ 18 เพื่อใช้ช่วยในการคำนวนปฏิทินตามระบบสุริยคติสำหรับโอกาสสำคัญต่าง ๆ กลไกจึงต้องมีความเที่ยงตรงสูงเพื่อให้แสดงวันเวลาได้อย่างถูกต้องและแม่นยำอย่างยิ่ง LVCEA เรือนนี้จึงไม่เพียงแต่ตีความทั้งในการคำนวนคาบซินโนดิค (Synodic Revolution) หรือเวลาที่ดาวเคราะห์ใช้ในการโคจรกลับมาอยู่ตำแหน่งเดิม (กรณีนี้เป็นดวงจันทร์) ซึ่งต้องออกมาได้เป็นค่าเวลา 29 วัน 12 ชม. 44 นาที และอีก 2.8 วินาทีพอดี LWQP คิดว่า BVLGARI จัดการเรื่องสมดุลของการออกแบบหน้าปัดเปลือกมุกพร้อมหลักชั่วโมงประดับเพชรจากการบรรจุฟังก์ชันนี้ลงไปได้ดีทีเดียว

LVCEA Moonphase ขับเคลื่อนด้วยกลไกขึ้นลานอัตโนมัติรุ่น BVL 191 เช่นเดียวกับรุ่น Octo Roma แต่จะเพิ่มโมดูลของมูนเฟสเข้าไปแทนจานวันที่ สำรองพลังงานลานได้ 42 ชั่วโมง และสำหรับสุภาพสตรีที่อาจจะไม่ชอบใช้นาฬิกากลไกเท่าไร ทาง BVLGARI ได้เพิ่ม LVCEA Animations ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องนาฬิกาแบบควอตซ์รุ่น B046 (รุ่น 28 มิลลิเมตร) และ B77 (รุ่น 33 มิลลิเมตร)

BVLGARI SERPENTI
ด้วยชื่อเสียงของ Bulgari ที่สั่งสมมานานมากกว่า 130 ปีทำให้ LWQP คิดว่าเป็นจุดแข็งหลักที่ทำให้แบรนด์มีความเข้าใจในการออกแบบสูงมาก โดยเราสามารถเห็นได้จากหลากหลายคอลเลคชันที่เรากล่าวไปก่อนหน้านี้ ในส่วนคอลเล็คชันงู หรือ Serpenti ที่เคยเอาชนะใจดาวค้างฟ้าอย่าง Elizabeth Taylor ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 50 นั้นเองก็ยังเป็นหนึ่งในชุดเครื่องประดับที่เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ที่สะท้อนความเป็นสตรีได้อย่างไม่เสื่อมคลายจนถึงปัจจุบัน
Serpenti Seduttori
สำหรับ Baselworld 2017 นี้ ทาง BVLGAR ได้เลือกที่จะเปิดตัว Serpenti สามรุ่นใหม่คือ Seduttori, Spiga และ Tubogas โดย Serpenti Seduttori เป็นรุ่นที่เรียกได้ว่าใหม่ล่าสุดของคอลเล็คชัน โดยมีการซ่อนเรือนเวลาไว้ข้างในปากของงูเหมือนในรุ่น Serpenti Secret Watch

ที่แตกต่างจากรุ่น Serpenti Secret Watch เนื่องจาก Serpenti Seduttori ไม่ได้ใช้สายที่เหมือนลำตัวงูพันวนกับข้อมือสามรอบ แต่จะเป็นวนแค่ข้อเดียวเหมือนกับกำไลข้อมือ ใช้เครื่องนาฬิกาควอตซ์ B033 ที่ไม่ได้เปลี่ยนเวลาด้วยเม็ดมะยม แต่ใช้ปุ่มกดเพื่อปรับเวลาแทน เพราะเม็ดมะยมจะทำให้ตัวเรือนไม่เรียบเนียนกลืนไปกับความสวยงามของเครื่องประดับชิ้นนี้

Serpenti Spiga
ในส่วน Serpenti Spiga นั้นเลือกได้ใช้วัสดุเซรามิกเข้ามารังสรรค์ชิ้นงาน ซึ่งจะต่างจาก Tubogas แบบปกติที่เป็นเส้นโลหะที่ล็อคม้วนกันจนเกิดรูปทรง ชิ้นส่วนเซรามิกแต่ละชิ้นจะถูกนำมาร้อยเข้ากับแกนโลหะเพื่อประกอบกันเข้าเป็นสายลำตัวงู และในปี 2017 นี้ ทาง BVLGARI ได้เปิดตัว Serpenti Spiga ที่ทำเซรามิกสีดำมาเลียนล้อกับขอบชิ้นงานที่ทำจากทองสีชมพู (Pink gold) ทำให้ดูคลาสสิคเหนือกาลเวลา สำหรับกลไกของนาฬิกานั้นใช้เครื่องควอตซ์รุ่น B033 แต่สามารถปรับเวลาได้ด้วยเม็ดมะยมที่อยู่ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกาของตัวเรือน

Serpenti Tubogas
ทาง LWQP กล่าวถึง BVLGARI ได้หลายอย่าง ทั้งในแง่ความเอาจริงเอาจังในโลกของการผลิตนาฬิกาทั้งในเทคโนโลยีและการเลือกวัสดุ ซึ่งแน่นอนว่าในวันใดวันหนึ่งอาจจะมีแบรนด์อื่นก้าวขึ้นมาท้าทายในระดับที่เท่าเทียมหรือเยี่ยมยอดกว่า แต่มีสิ่งหนึ่งที่ LWQP สามารถการันตีได้อย่างประทับใจเกี่ยวกับ BVLGARI คือแบรนด์สายเลือดโรมันนี้เป็นแบรนด์ที่เชี่ยวชาญที่สุดในการออกแบบผลงานของตนด้วยเทคนิค Turbogas (การนำโลหะมาดัดขึ้นรูปเป็นวง) ซึ่งจะต้องใช้มือในการผลิต ทำให้งูแต่ละตัวนั้นมีความยืดหยุ่นและขนาดที่ต่างกันแม้ว่าจะไม่ได้ประทับหมายเลขลิมิเตดเหมือนอย่างใครๆ ทางเราคิดว่ามันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง


สำหรับ Serpenti Tubogas ในปี 2017 ที่ออกมาหลายรุ่นนั้น รุ่นที่โดดเด่นในการเล่นสีมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นตัวเรือนสเตนเลสหน้าปัดสีแดง ซึ่ง LWQP คิดว่าเหมาะที่จะคู่กับ Octo Ultranero สีดำแดงเป็นอย่างมาก

และสำหรับเรือนที่เตะตามากที่สุด และ LWQP คิดว่าเป็นเรือนที่น่าสนใจที่สุดของ Serpenti Tubogas คือรุ่น 5 ขดที่ทำจากสเตนเลสสตีล ซึ่งเป็นครั้งแรกของ BVLGARI ที่ผลิต 5 ขดที่ทำจากสเตนเลสสตีล อยู่ในช่วงราคานั้นปรับมาอยู่ในช่วงที่น่าสนใจมากขึ้น โดย LWQP ได้นำรูปภาพเรือนจริงมาฝากด้วยเช่นกัน


นี่คือภาพรวมของชุดเรือนเวลา Pre-Basel 2017 ที่ LWQP นำมาฝากผู้อ่านทุกท่าน ใครมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรือนเวลาเหล่านี้ อย่าลืมแสดงความคิดเห็นในช่อง comment ด้านล่างบทความให้เราทราบได้ ที่ LWQP เราอ่านทุกความเห็นครับ ความคิดของผู้อ่านมีค่ามากกับเราทีเดียว