ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมงาน International Influencer Meeting ของแบรนด์นาฬิกา Glashütte Original แบรนด์นาฬิการะดับสูงจากประเทศเยอรมนี ซึ่งจัดขึ้น ณ โรงงานในเมือง Glashütte ประเทศเยอรมนี เพื่อเข้าไปสัมผัสกระบวนการผลิต รวมถึงการทำเวิร์คช็อปที่น่าสนใจ และเจาะลึกในศาสตร์นาฬิกาที่สั่งสมกันอย่างยาวนานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1845

จุดเริ่มต้นของการเดินทางนั้น ผมเริ่มจากเมือง Bremen ทางตอนเหนือของประเทศเยอรมนี โดยจะเดินทางด้วยรถไฟ ICE (Intercity-Express) จากสถานี Bremen Hbf (Hbf=Hauptbhanhof แปลว่าสถานีรถไฟหลัก) ไปสถานี Dresden Hbf โดยจะเปลี่ยนรถไฟที่สถานนี Leipzig Hbf ซึ่งเป็นสถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยวัดจากพื้นที่ โดยมีพื้นที่รวมทั้งหมด 83,460 ตารางเมตร หรือ 52.16 ไร่


เมื่อถึงสถานี Dresden Hbf ทาง Glashütte Original ได้นำรถมารับถึงสถานี เพื่อไปเก็บของที่โรงแรมและมุ่งตรงจาก Dresden ไปถึงโรงงานของ Glashütte Original ที่เมือง Glashütte บรรยากาศของโรงงานนั้นจะมีการจัดแต่งอย่างเรียบง่าย โดยที่ห้องโถงกลางจะมีการแสดงนิทรรศการที่นำเสนอนาฬิกาจากคอลเล็กชันในอดีต ไล่เรียงมาจนถึงคอลเล็กชันในปัจจุบัน


แต่ก่อนที่จะเข้าไปสู่เนื้อหาของเวิร์คช็อปและกิจกรรมที่ทาง Glashütte Original ได้เตรียมไว้ให้ ผมอยากจะนำเสนอเรื่องราวที่อธิบายถึงที่มาที่ไปของแบรนด์นาฬิกานี้เสียก่อน เพราะว่าหลาย ๆ คนที่เป็นผู้เริ่มต้น อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับชื่อของ Glashütte Original มากนัก
เรื่องราวแห่ง Glashütte Original
จุดเริ่มต้นของ Glashütte Original นั้น เริ่มต้นจากปี ค.ศ. 1845 ซึ่งเป็นปีที่ Ferdinand Adolf Lange เข้ามาตั้งโรงงานนาฬิกาแห่งแรกในเมือง Glashütte และได้มีการขยายเพิ่มขึ้น จนทำให้เมือง Glashütte นั้น เป็นแหล่งอุตสาหกรรมนาฬิกาที่สำคัญในยุโรป และได้รับชื่อเสียงในการคิดค้นนวัตกรรมแห่งกลไก ที่ดังที่สุดคือกลไก Flying Tourbillon ของ Alfred Helwig ที่เคยเป็นเป็นช่างนาฬิกาอวุโสในโรงเรียนช่างนาฬิกาของเมือง Glashütte ได้คิดค้นในปี ค.ศ. 1920

แต่ด้วยพิษสงครามที่ทำให้อุตสาหกรรมนาฬิกาจะต้องหยุดชะงัก เยอรมนีได้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ทำให้ทางการของประเทศเยอรมนีตะวันออกต้องรวมทุกบริษัทในเมือง Glashütte ให้อยู่ภายใต้ชื่อเดียวกัน คือ VEB Glashütte Uhrenbetriebe (ย่อ GUB) ในปี ค.ศ. 1951 นอกจากจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอดแล้ว ยังคงเป็นข้อดีที่มีการจัดการเก็บข้อมูลในเชิงประวัติศาสตร์อย่างต่อเนื่อง GUB ได้ดำเนินสายการผลิตนาฬิกาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมุ่งเน้นเรื่องของคุณภาพภายใต้แนวคิดตามภาษาเยอรมันที่ว่า “gut, günstig und langlebig” หรือแปลได้ว่า “คุณภาพดี ทนทาน ในราคาที่เอื้อมถึง” จึงเป็นต้นกำเนินของนาฬิกาสุดวินเทจ GUB Spezimatik ที่ปัจจุบันยังมีรหัสพันธุกรรมให้เห็นในรุ่น Sixties และ Seventies ของ Glashütte Original

หลังจากการรวมประเทศเยอรมนี ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลสำหรับฝั่งเยอรมนีตะวันออก ทำให้การตั้งอยู่ของ GUB ที่เป็นของรัฐบาล จะต้องถูกจัดระเบียบให้เป็นบริษัทเอกชน VEB Glashütte Uhrenbetriebe จึงเปลี่ยนเป็น Glashütter Uhrenbetrieb GmbH และพลิกโฉม มาผลิตนาฬิการะดับสูงที่ใช้กระบวนการขัดแต่งตามฉบับดั้งเดิมของนาฬิกา Glashütte โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า “Glashütte Original”


เวิร์คช็อปที่ Glashütte Original
เมื่อถึงโรงงาน เราได้รับการต้อนรับจากทีมงานของ Glashütte Original โดย Mr. René Marx ผู้เป็น Head of Digital Media จะเข้ามาดูแลในส่วนของงานในครั้งนี้ ในส่วนของแขก VIP ทั้งหมด มีประมาณ 15 คน ซึ่งจะต้องแบ่งออกเป็นทั้งหมด 2 กลุ่ม เพื่อทำเวิร์คช็อปที่ทางแบรนด์ได้จัดไว้

ในเวิร์คช็อป ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับคอลเล็กชัน Excellence และความเป็นมาของการพัฒนา Calibre 36 ที่ Glashütte Original ได้นำความเป็น German Engineering มาพัฒนาเพื่อเป้าหมายที่จะทำให้ Calibre 36 เป็นกลไกของ Glashütte Original ที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในทุก ๆ ด้าน โดยมุ่งเน้นสี่ปัจจัยดังนี้ คือ ความเสถียรและทนทาน, ความเที่ยงตรงและแม่นยำ, พลังงานลานที่ยาวนาน และความงดงามแห่งรายละเอียด
เพื่อเพิ่มความทนทานให้กับกลไกนั้น จะทำให้มีชิ้นส่วนที่จะต้องต่อกันมากขึ้น นั่นหมายถึงความเสี่ยงในการเสียหายก็จะยิ่งสูงขึ้น ในความคิดของ Glashütte Original นั้น ไม่อยากจะให้นาฬิกา Senator Excellence นั้น เป็นนาฬิกาที่มีไว้ใส่ออกงานเท่านั้น แต่ต้องการให้เป็นนาฬิกาที่เหมาะสมกับการสวมใส่ทุกโอกาส ดังนั้นกลไก Calibre 36 ได้รับการออกแบบใหม่ โดยจะมีชิ้นส่วนลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับกลไกที่ใกล้เคียงกัน อาจจะฟังดูง่าย แต่ในมุมมองของวิศวกรรมนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเลย นอกจากนั้นยังเพิ่มเส้นผ่านศูนย์กลางของกระปุกลาน ลดหน้าตัดของสปริงลง ทำให้การสำรองพลังงานลานนั้น ทำได้ถึง 100 ชั่วโมง และเพื่อให้การขึ้นลานจากการแกว่งของข้อมือมีประสิทธิภาพ Glashütte Original ได้เปลี่ยนมาใช้ระบบการขึ้นลานด้วยการหมุนทั้งสองด้าน (bi-directional winding system)


ในส่วนของสายใยนาฬิกา Glashütte Original ได้เปลี่ยนมาใช้สายใยจากซิลิกอน (Silicon Hairspring) เพื่อเพิ่มความเที่ยงตรงของกลไกให้สูงขึ้น หมายความว่ากลไก Calibre 36 นั้นสามารถให้สัญญาณนาฬิกาที่ความถี่ 4 เฮิร์ต (28,800 vph) ยาวนานได้ถึง 4 วัน โดยมีความเที่ยงตรงที่ยอดเยี่ยม และเพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจในความเที่ยงตรงของกลไก ทาง Glashütte Original ได้ทดสอบความเที่ยงตรงของกลไก Calibre 36 ยาวนานถึง 12 วัน ตามมาตรฐานการทดสอบของเยอรมัน ซึ่งจะให้ความเที่ยงตรงเท่ากับมาตรฐานโครโนมิเตอร์ ที่ -4/+6 วินาทีต่อวัน และมีการทดสอบความเที่ยงตรงถึง 6 ตำแหน่งด้วยกัน

ในกล่องของ Senator Excellence จะมีใบรับประกันความเที่ยงตรง (Prüfbescheiningung, Examination Certification) พร้อมกับผลการวัดความเที่ยงตรงของกลไกทั้งหกตำแหน่ง แนบไว้ให้เพื่อเป็นเครื่องยืนยันคุณภาพที่ Glashütte Original ส่งมอบให้กับผู้ใช้


หลังจากที่ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับคอลเล็กชัน Senator Excellence และเบื้องลึกเกี่ยวกับกลไก Calibre 36 แล้ว ทาง Glashütte Original ได้จัดเวิร์คช็อป เพื่อให้ผมได้ไปทดลองสัมผัสวิธีการทำงานของช่างนาฬิกา ในงานของการขัดแต่งกลไก รวมถึงการใส่สกรูเข้าไปในจักรกรอก ซึ่งถือว่าเป็นงานเฉพาะด้านที่ต้องใช้ความชำนาญของช่างฝีมือ โดยผมนั้นใช้เวลามากกว่าห้านาทีในการใส่สกรูเพียงหนึ่งตัวบนจักรกรอก แต่ทาง Glashütte Original ได้บอกว่า ช่างที่ชำนาญสามารถใส่ 18 สกรู ในเวลาเพียง 3 นาทีเท่านั้น


หลังจากที่ได้สนุกกับการลงมือทำจริง ทาง Glashütte Original ได้จัดเวิร์คช็อปสุดท้ายไว้ เพื่อให้เรียนรู้เกี่ยวกับคอลเล็กชันประวัติศาสตร์ โดยผมได้ศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของนาฬิกาโครโนเมตรมาตรฐานที่ภาษาเยอรมันเรียกว่า Einheitschronometer ซึ่งเป็นนาฬิกาโครโนเมตรบนเรือมาตรฐานที่เยอรมนีออกแบบมาไว้สำหรับการใช้งานทางกองทัพ

ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 อุตสาหกรรมนาฬิกาของ Glashütte แห่งราชอาณาจักรแซกโซนี (เยอรมัน: Königreich Sachsen; อังกฤษ: Kingdom of Saxony) ในจักรวรรดิเยอรมัน (german: Das Deutsche Reich) อยู่ในยุครุ่งเรืองและมีความสำคัญต่อทางกองทัพเป็นอย่างมาก แต่เนื่องจากการแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทำให้ความต้องการทางการทหารที่ลดลง และ 70-80% ของนาฬิกาโครโนเมตรบนเรือนั้น ล้วนเป็นนาฬิกาโครโนเมตรของอังกฤษทั้งสิ้น

หลังจากการเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองมาเป็นระบอบนาซีในปี ค.ศ. 1933 ได้มีการนำหัวข้อเรื่อง “สภาวะของอุตสาหกรรมนาฬิกาของกลาสฮุ๊ตเทอ” เข้าประชุมในกระทรวงเศรษฐกิจแห่งจักรวรรดิในวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1935 โดยมีการสรุปเนื้อความเป็นสองหัวข้อหลักคือ
- เพิ่มกำลังซื้อนาฬิกาผ่านกองทัพเรือและกองทัพอากาศ รวมถึงให้สมาคมนักเดินเรือมีการตรวจสอบคุณภาพของนาฬิกาเดินเรือและมีการเปลี่ยนนาฬิกาเพื่อเพิ่มการสั่งซื้อของนาฬิกาทางทะเลให้มากขึ้น
- ปลดระวางนาฬิกาเดินเรือต่างประเทศ (โดยเฉพาะของอังกฤษ)
ด้วยกฎเกณฑ์ดังกล่าวจึงทำให้อุตสาหกรรมนาฬิกาของเยอรมนีกลับมาอีกครั้ง โดยมี A. Lange & Söhne (คนละบริษัทกับแบรนด์ในปัจจุบัน) และบริษัทนาฬิกา Gerhard D. Wempe เป็นผู้ผลิตนาฬิกาพกพาทางทหาร (B-Uhr หรือ Beobachtungsuhr) และนาฬิกาทางทะเล (Einheitschronometer หรือ Marine Chronometer) ให้ทางกองทัพเรือและกองทัพอากาศ และนอกจากสองบริษัทนี้ยังมี Deutsche Uhrmacherschule (ย่อ: DUS) จากเมือง Glashütte และ Chronometer-Werke G.m.b.H. (บริษัทนี้ได้ถูก Wempe ซื้อไปในต้นปี ค.ศ. 1938) ที่ผลิตชิ้นส่วนและนาฬิกาให้กับกองทัพเช่นกัน

ในวันที่ 22 พฤษจิกายน ค.ศ. 1935 A. Lange & Söhne ได้ส่งมอบนาฬิกา “Normal-Chronometer” เก้าตัวแรกให้ทางกองทัพ ที่เป็นต้นแบบแห่งนาฬิกาโครโนเมตรมาตรฐานหรือ Einheitschronometer ของเยอรมัน ในภายหลังที่มีการผลิตนาฬิกาโครโนเมตรดังกล่าวอย่างแพร่หลาย โดยจะแบ่ง Einheitschronometer ออกได้เป็นสี่ประเภทด้วยกัน คือ Type I – Standard-Qualität (คุณภาพมาตรฐาน), Type II – Erste-Qualität (คุณภาพขั้นแรก), Type III – Sonder-Qualität (คุณภาพพิเศษ) และ Type IV – Nachkriegs-Zusammenbau (ชิ้นส่วนประกอบหลังสงคราม) ซึ่งนาฬิกาดังกล่าวนั้น เป็นหนึ่งในยุทธปัจจัยในสงครามที่ร่วมรบจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1945

นอกจากเรื่องของ Einheitschronometer แล้ว ผมยังได้มีโอกาสสัมผัสนาฬิกาต้นหนหรือภาษาเยอรมันเรียกว่า Beobachtungsuhr หรือ B-Uhr ที่เป็นนาฬิกาไว้สำหรับต้นหนในการนำทางและวัดค่าต่าง ๆ ซึ่งรหัสพันธุกรรมของนาฬิกา B-Uhr ของ GUB หรือ Glashütte Uhrenbetriebe (Glashütte Original ในอดีตก่อนที่เยอรมนีจะรวมประเทศ) ได้ส่งต่อมาถึงคอลเล็กชันของ Glashütte Original ในปัจจุบัน ของรุ่น Senator Observer

และสุดท้าย ผมได้สัมผัสกับนาฬิการุ่น Spezimatik ที่เป็นเหมือนนาฬิการุ่นยอดนิยมของการผลิตในช่วงยุค 60 และยุค 70 โดยมีจุดเด่นในเรื่องของการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์และหน้าปัดที่หลากหลาย โดยในปัจจุบันยังคงเป็นนาฬิกาที่วนอยู่ในตลาดมือสองของเยอรมนีมากมาย ราคาก็มีตั้งแต่หลักพันยันหลักแสน ตามสภาพของนาฬิกา



หลังจากการทำเวิร์คช็อปแล้ว ทาง Glashütte Original ได้จัดดินเนอร์พิเศษให้กับแขก VIP ทั้งหมด และได้นำคอลเล็กชันนาฬิกามาให้ทดลองใส่กัน โดยงานเลี้ยงจะจัด ณ ห้องโถงของโรงงาน โดยมีอาหารนำมาเสิร์ฟอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการพูดคุยกันในยามค่ำคืนเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างสนุกสนาน


ถ้าหากใครอยากจะชมบรรยากาศจริง ๆ ผมได้ทำ VLOG การเดินทางไว้ให้ชมกันอย่างสะดวกที่วิดีโอนี้ครับ
